เมนู

4 ให้เกิดขึ้นแล้วบริโภคปัจจัยนั้น ก็อันนี้เป็นมิจฉาอาชีวะถึงที่สุด การงดเว้น
จากมิจฉาอาชีวะนั้น ชื่อว่า สัมมาอาชีวะ.
สัมมาอาชีวะแม้นี้ ในส่วนเบื้องต้นย่อมได้ในจิตต่าง ๆ เพราะการ
งดเว้นจากการก้าวล่วงทางกายทวารก็จิตอย่างหนึ่ง จากวจีทวารก็ได้จิต
อย่างหนึ่ง แต่ในขณะแห่งโลกุตรมรรคย่อมได้จิตดวงเดียวเท่านั้น เพราะวิรติ
ดวงเดียวเกิดขึ้นกระทำการตัดทางของเจตนา ความเป็นผู้ทุศีล คือมิจฉาอาชีวะ
อัน เกิดขึ้นด้วยสามารถแห่งกรรมบถ 7 คือ กายกรรมและวจีกรรมในกายทวาร
และวจีทวารยังองค์มรรคให้บริบูรณ์ เพราะฉะนั้น ความนี้จึงแปลกกันใน
นิทเทสวาร.
แต่ในอินทรีย์ทั้งหลายทรงเพิ่มอนัญญตัญญัสสามีตินทรีย์ และในองค์
แห่งมรรคทรงเพิ่มสัมมาวาจาเป็นต้นนั้น ตรัสว่า อินทรีย์ 9* มรรคมีองค์ 8
ดังนี้ ในสังคหวารด้วยสามารถแห่งอนัญญตัญญัสสามีตินทรีย์ และสัมมาวาจา
เป็นต้นเหล่านั้น. สุญญตวาระเป็นไปตามปรกตินั่นแหละ ก็ความเบื้องต้นนี้
แปลกกันในสุทธิกปฏิปทา.
สุทธิปฏิปทา จบ

กถาว่าด้วยสุญญตาเป็นต้น



เบื้องหน้าแต่นี้ไป เป็นประเภทแห่งเทศนา คือ
สุทธิกสุญญตา 1
สุญญตปฏิปทา 1
สุทธิกอัปปณิหิตะ 1
อัปปณิหิตปฏิปทา 1

* ข้ออันอรรถกถาฉบับไทยเป็น สงฺคหวาเรน วิริยินทฺริยานิ อฏฺฐงฺคิโก มคฺโค ฉบับพม่าเป็น
สงฺคหวาเร นวินฺทฺริยานิ อฏฺฐงฺคิโก มคฺโค

บรรดาประเภทแห่งเทศนา 4 เหล่านั้น คำว่า สุญญตา นี้เป็นชื่อ
ของโลกุตรมรรค จริงอยู่ โลกุตรมรรคนั้น ย่อมได้ชื่อเพราะเหตุ 3 อย่าง คือ
เพราะการบรรลุ 1 เพราะคุณของตน 1 เพราะอารมณ์ 1.
ถามว่า ข้อนี้ เป็นอย่างไร ?
ตอบว่า ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ อาศัยอยู่โดยความเป็นอนัตตา
ย่อมเห็นสังขารโดยความเป็นอนัตตา แต่ธรรมดาว่า การออกจากสังขตธรรม
ด้วยมรรค (มรรควุฏฐานะ) ย่อมไม่มีโดยเพียงเห็นโดยความเป็นอนัตตาเท่านั้น
การเห็นโดยความเป็นของไม่เที่ยงบ้าง โดยความเป็นทุกข์บ้าง จึงสมควร
เพราะฉะนั้น เธอจึงยกขึ้นสู่อนุปัสสนา 3 อย่าง คือ อนิจจัง ทุกขัง และ
อนัตตา แล้วพิจารณาอยู่ท่องเที่ยวไป ก็วิปัสสนาอันเป็นวุฏฐานคามินีของภิกษุ
นั้น ย่อมเห็นสังขารทั้งหลายแม้อันเป็นไปในภูมิ 3 โดยความเป็นของสูญ
(ว่างเปล่า) ทีเดียว วิปัสสนานี้ชื่อว่า สุญญตา วิปัสสนานั้นดำรงอยู่ในฐานะ
ที่ควรบรรลุ จึงให้ชื่อมรรคของตนว่า สุญญตะ มรรคย่อมได้ชื่อว่า สุญญตะ
เพราะการบรรลุด้วยประการฉะนี้. แต่เพราะมรรคนั้นสูญจากราคะเป็นต้น
ฉะนั้น จึงได้ชื่อว่า สุญญตะ ด้วยคุณของตน. แม้พระนิพพาน ท่านก็เรียก
ชื่อว่า สุญญตะ เพราะเป็นสภาวะสูญจากราคะเป็นต้น. มรรคย่อมได้ชื่อ
สุญญตะ โดยอารมณ์เพราะความที่มรรคนั้นทำพระนิพพานให้เป็นอารมณ์
เกิดขึ้น.
บรรดาเหตุทั้ง 3 เหล่านั้น โลกุตรมรรคย่อมได้ชื่อโดยคุณของตนบ้าง
โดยอารมณ์บ้าง โดยปริยายอันมีในพระสุตตันตะ เพราะปริยายนี้เป็นปริยาย-
เทศนา ส่วนอภิธรรมกถาเป็นนิปปริยายเทศนา เพราะฉะนั้น ในอภิธรรมกถานี้
โลกุตรมรรค ย่อมไม่ได้ชื่อโดยคุณของตน หรือโดยอารมณ์ ย่อมได้โดยการ

บรรลุเท่านั้น เพราะว่า การบรรลุนั้นเป็นธุระ (กิจ) การบรรลุนั้น มี 2 อย่าง
คือ การบรรลุด้วยวิปัสสนา การบรรลุด้วยมรรค ในการบรรลุทั้ง 2 นั้น
การบรรลุด้วยวิปัสสนาเป็นธุระในฐานแห่งมรรคถึงแล้ว การบรรลุด้วยมรรค
เป็นธุระในฐานแห่งผลมาแล้ว ในอภิธรรมนี้ เพราะความที่มรรคมาแล้ว การ
บรรลุด้วยวิปัสสนาเท่านั้น จึงเป็นธุระเกิดขึ้น.
พึงทราบวินิจฉัยแม้ในคำนี้ว่า อัปปณิหิตะ ต่อไป.
คำว่า อปฺปณิหิตํ นี้เป็นชื่อของมรรค มรรคย่อมได้ชื่อแม้นี้ด้วย
เหตุ 3 เหมือนกัน. ได้อย่างไร ? คือภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ อาศัยอยู่
โดยความเป็นทุกข์แต่ต้นเทียว ย่อมเห็นสังขารทั้งหลายโดยความเป็นทุกข์
เท่านั้น ก็เพราะธรรมดามัคควุฏฐาน (การออกจากสังขตธรรมด้วยมรรค)
ย่อมไม่มีเพียงการเห็นทุกข์เท่านั้น การเห็นโดยความไม่เที่ยงบ้าง โดยอนัตตา
บ้าง จึงสมควรฉะนั้น เธอจึงยกขึ้นสู่อนุปัสสนา 3 อย่าง คือ ความไม่เที่ยง
เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา พิจารณาอยู่ ย่อมเที่ยวไป ก็วิปัสสนาอันเป็นวุฏฐาน-
คามินีของภิกษุนั้นยังปณิธิ (ความปรารถนา) ในสังขารทั้งหลายในภูมิ 3 ให้
เหือดแห้ง ให้สิ้นไปจึงปล่อยวาง วิปัสสนานี้ ชื่อว่า อัปปณิหิตะ วิปัสสนานั้น
ดำรงอยู่ในฐานควรบรรลุ จึงให้ชื่อมรรคของตนว่า อัปปณิหิตะ มรรค
ย่อมได้ชื่อว่า อัปปณิหิตะ เพราะการบรรลุอย่างนี้ ก็การดำรงไว้ซึ่งราคะ
โทสะแสะโมหะในมรรคนั้นมิได้มี ฉะนั้น มรรคนั้นจึงได้ชื่อด้วยคุณของตน
นั่นแหละว่า อัปปณิหิตะ ดังนี้. แม้พระนิพพาน ก็ตรัสเรียกว่า อัปปณิหิตะ
เพราะความไม่มีที่ตั้งอยู่แห่งราคะเป็นต้นเหล่านั้น. มรรคย่อมได้ชื่อว่า อัปปณิ-
หิตะ
เพราะทำพระนิพพานนั้นให้เป็นอารมณ์เกิดขึ้น. บรรดาเหตุทั้ง 3
เหล่านั้น มรรคย่อมได้ชื่อโดยคุณของตนบ้าง โคยอารมณ์บ้าง โดยปริยาย

แห่งพระสุตตันตะ เพราะเทศนานี้เป็นปริยายเทศนา แต่อภิธรรมกถาเป็น
นิปปริยายเทศนา ฉะนั้น ในอภิธรรมกถานี้ โลกุตรมรรคจึงไม่ได้ชื่อโดยคุณ
ของตนบ้าง โดยอารมณ์บ้าง ย่อมได้ชื่อโดยการบรรลุเท่านั้น. ก็การบรรลุ
เท่านั้นเป็นธุระ การบรรลุนั้น มี 2 อย่าง คือ การบรรลุด้วยวิปัสสนา การบรรลุ
ด้วยมรรค ในการบรรลุ 2 อย่างนั้น การบรรลุด้วยวิปัสสนาเป็นธุระในฐาน
แห่งมรรคมาแล้ว การบรรลุด้วยมรรคเป็นธุระในฐานแห่งผลมาแล้ว ในอภิ-
ธรรมกถานี้ เพราะความที่มรรคมาแล้ว การบรรลุด้วยวิปัสสนาเท่านั้นจึงเป็น
ธุระเกิดขึ้น.
ถามว่า ก็มรรคมีชื่อ 3 อย่าง คือ สุญญตะ อนิมิตตะ อัปปณิหิตะ
มิใช่หรือ ? เหมือนอย่างที่ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย วิโมกข์เหล่านี้มี 3 อย่าง
คือ สุญญตวิโมกข์ อนิมิตตวิโมกข์ อัปปณิหิตวิโมกข์ ในบรรดามรรคที่มี
ชื่อ 3 เหล่านั้น ในอภิธรรมนี้ ถือเอามรรค 2 เพราะเหตุไร จึงไม่ถือเอา
อนิมิตตวิโมกข์เล่า ?
ตอบว่า เพราะไม่มีการบรรลุ.
จริงอยู่ อนิมิตตวิปัสสนาดำรงอยู่ในฐานที่ควรบรรลุเองไม่อาจให้ชื่อ
มรรคของตน. ก็พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสอนิมิตตวิปัสสนาแก่พระราหุลเถระ
ผู้เป็นโอรสของพระองค์ว่า
อนิมิตฺตญฺจ ภาเวหิ มานานุสยมุชฺชห
ตโต มานาภิสมยา อุปสนฺโต จริสฺสสิ
เธอจงเจริญอนิมิตตวิปัสสนา (พิจาร-
ณาโดยความเป็นของไม่เที่ยง) จงละมานา-
นุสัยเสีย แต่นั้น เธอจักเป็นผู้เข้าไปสงบ
เที่ยวไปเพราะละมานะเสียได้
ดังนี้.

จริงอยู่ วิปัสสนาย่อมถอนขึ้นซึ่งนิมิตว่าเที่ยง ซึ่งนิมิตว่ายั่งยืน ซึ่งนิมิต
ว่าอัตตา ซึ่งนิมิตว่าเป็นสุข ฉะนั้น จึงตรัสว่า อนิมิต (ไม่มีนิมิต ) วิปัสสนา
แม้นั้นย่อมถอนขึ้น ซึ่งนิมิตนั้นแม้ก็จริง ถึงอย่างนั้นวิปัสสนานั้นจึงมีชื่อว่า
นิมิตนั่นเอง เพราะย่อมเที่ยวไปในนิมิตธรรมทั้งหลายเอง เพราะฉะนั้น ตน
เองดำรงอยู่ในฐานที่พึงบรรลุ จึงไม่อาจเพื่อให้ชื่อมรรคของตน.
อีกนัยหนึ่ง ธรรมดาพระอภิธรรมเป็นปรมัตถเทศนา และอนิมิตของ
มรรคเป็นการบกพร่องแห่งเหตุโดยปรมัตถ์ทีเดียว. มีการบกพร่องอย่างไร ?
คือ อนิมิตตวิโมกข์ตรัสไว้ด้วยอำนาจแห่งอนิจจานุปัสสนา สัทธินทรีย์มีประมาณ
ยิ่งด้วยวิโมกข์นั้น สัทธินทรีย์นั้นไม่เป็นแม้องค์หนึ่งในอริยมรรค เพราะมิใช่
องค์มรรค จึงไม่อาจให้ชื่อมรรคของตนโดยปรมัตถ์ได้ ส่วนวิโมกข์ 2 นอกนี้
สุญญตวิโมกข์ ตรัสไว้ด้วยอำนาจแห่งอนัตตานุปัสสนา อัปปณิหิติวิโมกข์
ตรัสไว้ด้วยอำนาจแห่งทุกขานุปัสสนา. บรรดาวิโมกข์เหล่านั้น ปัญญินทรีย์
มีกำลังยิ่งด้วยสุญญตวิโมกข์ สมาธินทรีย์มีกำลังยิ่งด้วยอัปปณิหิตวิโมกข์
ปัญญินทรีย์และสมาธินทรีย์เหล่านั้น เพราะความเป็นองค์แห่งอริยมรรค จึง
สามารถให้ชื่อมรรคของตนโดยปรมัตถ์ได้.
จริงอยู่ ในเวลาที่ฉันทะและจิตตะเป็นอธิบดีในการจำแนกธรรมแห่ง
มัคคาธิปติ แม้ในมัคคารัมมณติกะ พระองค์มิได้ตรัสความเป็นมัคคาธิปติไว้
เพราะความที่ธรรม คือ ฉันทะและจิตตะเหล่านั้นมิใช่เป็นองค์มรรค พึงทราบ
ถ้อยคำที่ถึงพร้อมแล้วอย่างนั้นเถิด เนื้อความนี้เป็นวินิจฉัยเฉพาะ ของอาจารย์
รูปหนึ่งนอกจากอรรถกถาในเรื่องนี้. อนิมิตตวิปัสสนาแม้โดยประการทั้งปวง
อย่างนี้ ตั้งอยู่ในฐานะที่พึงบรรลุได้เอง จึงไม่สามารถให้ชื่อมรรคของตนได้
เพราะฉะนั้น พระองค์มิได้ทรงถือเอามรรคที่เป็นอนิมิตตะ.

แต่อาจารย์บางพวกกล่าวว่า มรรคที่เกิดด้วยอนิมิตตะ แม้ไม่ได้ชื่อ
โดยการบรรลุ แต่ก็ได้ชื่อโดยคุณของตน และโดยอารมณ์ โดยปริยายแห่ง
พระสูตร ครั้นอาจารย์พวกนั้นกล่าวแล้วก็ถูกสกวาทีอาจารย์คัดค้านว่า เมื่อ
มรรคอันเกิดขึ้นด้วยอนิมิตตะได้ชื่อโดยคุณของตนและโดยอารมณ์ แม้มรรคที่
เกิดแต่สุญญตะและอัปปณิหิตะก็พึงได้ชื่อนี้ตามคุณของตนและโดยอารมณ์ แต่
ก็ไม่ได้ เพราะเหตุไร ? เพราะว่า ธรรมดามรรคนี้ย่อมได้ชื่อด้วยเหตุ 2 อย่าง
คือโดยหน้าที่ของตนและโดยเป็นปัจจนิก คือว่า โดยสภาวะและโดยการปฏิเสธ.
ในเหตุทั้ง 2 นั้น มรรคที่เกิดขึ้นด้วยสุญญตะและอัปปณิหิตย่อมได้ชื่อโดยกิจ
ของตนบ้าง โดยเป็นปัจจนิกบ้าง จริงอยู่ มรรคที่เกิดด้วยสุญญตะและอัปป-
ณิหิตะ ย่อมได้ชื่อโดยกิจของตนอย่างนี้คือ ชื่อว่า ว่าง เพราะว่างจากราคะ
เป็นต้น และเพราะไม่มีที่ตั้งโดยไม่มีที่ตั้งแห่งราคะเป็นต้น และย่อมได้ชื่อโดย
เป็นปัจจนิกอย่างนี้ คือ มรรคที่เกิดขึ้นเป็นสุญญตะเป็นปฏิปักษ์ต่อการยึดถือ
อัตตา มรรคที่เกิดเป็นอัปปณิหิตะเป็นปฏิปักษ์ต่อธรรมเป็นที่ตั้ง ส่วนมรรค
ที่เกิดขึ้นด้วยอนิมิตตะ ย่อมได้ชื่อโดยกิจของตนเท่านั้น เพราะไม่มีนิมิตแห่ง
ราคะเป็นต้น และนิมิตว่าเที่ยงเป็นต้น มิใช่ได้ชื่อโดยความเป็นข้าศึก ด้วยว่า
มรรคอนิมิตตะนั้นเป็นปฏิปักษ์ต่ออนิจจานุปัสสนา ซึ่งมีสังขารนิมิตเป็นอารมณ์
หามิได้ ก็อนิจจานุปัสสนาตั้งอยู่ในความเป็นอนุโลมแก่มรรคนั้น เพราะฉะนั้น
มรรคที่เกิดด้วยอนิมิตตะนั้น จึงไม่มีโดยปริยายแห่งพระอภิธรรมแม้โดยประการ
ทั้งปวง ฉะนี้แล.
แต่ว่า โดยปริยายแห่งพระสูตร มรรคที่เกิดขึ้นด้วยอนิมิตนั้น พระ-
องค์นำมาแสดงไว้อย่างนี้ ก็ในวาระใด มีการออกจากกิเลสด้วยมรรค ลักษณะ
ทั้ง 3 ย่อมมาสู่คลองดุจอาวัชชนะเดียวกัน ก็ขึ้นชื่อว่า การมาสู่คลองแห่ง

ลักษณะทั้ง 3 พร้อมกันมิได้มี แต่เพื่อแสดงความแจ่มแจ้งแห่งกรรมฐาน
พระองค์จึงตรัสไว้อย่างนี้ ก็ความยึดถือในที่ใดที่หนึ่งตั้งแต่ต้นจงยกไว้ แต่ว่า
วิปัสสนาอันเป็นวุฏฐานคามินีพิจารณาธรรมใด ๆ แล้วย่อมออกจากกิเลสตั้งอยู่
ในฐานที่ควรบรรลุด้วยสามารถแห่งธรรมนั้นๆ นั่นแหละย่อมให้ชื่อมรรคของตน
ข้อนี้ เป็นอย่างไร ?
ก็พระโยคาวจรอาศัยธรรมใดธรรมหนึ่ง ในบรรดาลักษณะมีความ
ไม่เที่ยงเป็นต้น ก็สมควรเห็นลักษณะทั้ง 2 นอกนี้อีกทีเดียว ธรรมดาการ
ออกจากกิเลสด้วยมรรคโดยเพียงการเห็นลักษณะเดียวนั้นย่อมไม่มี เพราะฉะนั้น
ภิกษุตั้งมั่นแล้วโดยความไม่เที่ยง ย่อมออกไปแม้จาก (กิเลส ) โดยความเป็นของ
ไม่เที่ยง แม้โดยความเป็นทุกข์อย่างเดียวหามิได้ ย่อมออกไปจาก (กิเลส)
โดยความเป็นอนัตตาด้วยนั่นแหละ แม้ในความตั้งมั่นอยู่โดยความเป็นทุกข์
ก็นัยนี้แหละ. ด้วยประการฉะนี้ การยึดถือสิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นอารมณ์ตั้งแต่
ต้นจงยกไว้ ก็วิปัสสนาที่เป็นวุฏฐานคามินีพิจารณาธรรมใด ๆ ย่อมออกไป
ดำรงอยู่ในฐานที่ควรบรรลุด้วยสามารถแห่งธรรมนั้น ๆ แล้วให้ชื่อมรรคของ
ตน. ในบรรดาลักษณะเหล่านั้น เมื่อพระโยคาวจรออกจากอนิจจลักษณะ
มรรคก็เป็นอนิมิตตะ เมื่อออกจากทุกขลักษณะ มรรคก็เป็นอัปปณิหิตะ เมื่อ
ออกจากอนัตตลักษณะ มรรคก็เป็นสุญญตะ ดังนี้ ทรงนำนิมิตตมรรคมา
แสดงโดยปริยายแห่งพระสูตรด้วยประการฉะนี้.
ถามว่า ก็วิปัสสนาที่เป็นวุฏฐานคามินี มีอะไรเป็นอารมณ์ ?
ตอบว่า มีลักษณะเป็นอารมณ์.
ขึ้นชื่อว่า ลักษณะ มีคติเป็นบัญญัติ เป็นธรรม ที่ไม่ควรกล่าวถึง แต่
ว่าภิกษุใดกำหนดลักษณะ 3 คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ขันธ์ 5 ของภิกษุ
นั้นย่อมเป็นดุจซากศพผูกที่คอ ญาณมีสังขารเป็นอารมณ์นั่นแหละย่อมออกไป

จากสังขาร. เหมือนอย่างภิกษุรูปหนึ่ง ต้องการจะซื้อบาตรเห็นบาตรที่พ่อค้า
บาตรนำมาแล้วก็มีความยินดีร่าเริง คิดว่า เราจักถือเอาบาตร ดังนี้ เมื่อทดลองดู
จึงเห็นรูทะลุ 3 แห่ง ภิกษุนั้นหมดความอาลัยในรูทะลุทั้งหลายก็หาไม่ ที่แท้
หมดความอาลัยในบาตร ฉันใด ภิกษุกำหนดลักษณะทั้ง 3 แล้วจึงเป็นผู้หมด
ความอาลัยในสังขารทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกัน พึงทราบว่า วิปัสสนานั้นย่อม
ออกไปจากสังขารด้วยญาณมีสังขารเป็นอารมณ์นั่นแหละดังนี้. แม้อุปามาด้วย
ผ้า
ก็นัยนี้เหมือนกัน.
พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อทรงจำแนกฌานโลกุตระ จึงทรงนำนัยแม้ทั้ง 2
คือ จตุกนัย และปัญจกนัย จากสุทธิกปฏิปทามาด้วยประการฉะนี้. ในสุทธิก-
สุญญตา ในสุญญตปฏิปทา ในสุทธิกอัปปณิหิต ในอัปปณิหิตปฏิปทาก็ทรงนำนัย
ทั้ง 2 คือ จตุกนัย และปัญจกนัย มาแสดงไว้เหมือนกัน.
ถามว่า เพราะเหตุไร จึงทรงนำมาอย่างนี้ ?
ตอบว่า เพราะอัชฌาสัยของบุคคล และเพราะความงามแห่งเทศนา
พึงทราบแม้ทั้ง 2 นัยนั้น โดยนัยที่กล่าวแล้วในหนหลังแล.
ในคำว่า เจริญโลกุตรฌานนี้ อย่างนี้ พระองค์ทรงจำแนกนัยทั้ง 2
ด้วยอำนาจจตุกนัยและปัญจกนัยจากสุทธิกปฏิปทา ในที่เหลือก็เหมือนกัน
เพราฉะนั้น จึงจำแนกนัยทั้ง 10 ในส่วนทั้ง 5 ส่วนทั้งหมด.
ในโลกุตรฌานนั้น พึงทราบข้อธรรมปกิณณกะดังนี้
ธรรมภายใน (อชฺฌตฺตญฺจ) ธรรม
ภายนอก (พหิทฺธา) ในรูปและอรูปทั้ง 5
การเปลี่ยนองค์มรรค 7 และ 8 นิมิต ปฏิปทา
และอธิบดี.

จริงอยู่ ในโลกุตรมรรค ภิกษุอาศัยธรรมภายในย่อมออกจากธรรม
ภายใน อาศัยธรรมภายในแล้วย่อมออกจากธรรมภายนอก อาศัยธรรมภายนอก
แล้วย่อมออกจากธรรมภายนอก อาศัยธรรมภายนอกแล้วย่อมออกจากธรรม
ภายใน ภิกษุอาศัยรูปแล้วย่อมออกจากรูป อาศัยรูปแล้วย่อมออกจากอรูป
อาศัยอรูปแล้วออกจากอรูป อาศัยอรูปแล้วย่อมออกจากรูป ย่อมออกจากขันธ์ 5
พร้อมกัน.
คำว่า เปลี่ยนองค์มรรค 7 และ 8 อธิบายว่า ก็มรรคนั้นนี้มี
องค์ 8 บ้าง มีองค์ 7 บ้าง แม้โพชฌงค์เป็น 7 ก็มี เป็น 6 ก็มี ถึงฌาน
มีองค์ 5 ก็มี มีองค์ 4 ก็มี มีองค์ 3 ก็มี มีองค์ 2 ก็มี พึงทราบการเปลี่ยน
องค์มี 7 และ 8 เป็นต้นอย่างนี้ด้วยประการฉะนี้.
คำว่า นิมิต ปฏิปทา และอธิบดี อธิบายว่า คำว่า นิมิต ได้แก่
แดนเป็นที่ออก. คำว่า ปฏิปทาและอธิบดี ได้แก่ พึงทราบความหวั่นไหว
และไม่หวั่นไหวแห่งปฏิปทาและอธิบดีเท่านั้น.
ในบรรดาคำเหล่านั้น พึงทราบวินิจฉัยในคำเป็นต้นว่า อาศัยธรรม
ภายในแล้วออกจากธรรมภายในนั้นก่อน
. ก็ภิกษุบางรูปในพระศาสนานี้
ย่อมอาศัยขันธ์ 5 อันเป็นภายในจำเดิมแต่ต้น ครั้นอาศัยแล้วย่อมเห็นขันธ์ 5
เหล่านั้นโดยความเป็นของไม่เที่ยงเป็นต้น โดยมนสิการว่า ภิกษุในธรรมวินัย
นี้เบื้องต้นย่อมออกจากธรรมภายในดังนี้ แต่เพราะการออกด้วยมรรค ย่อมมี
เพียงการเห็นธรรมภายในล้วน ๆ เท่านั้นหามิได้ พึงเห็นแม้ธรรมภายนอก
ทีเดียว ฉะนั้น จึงพิจารณาขันธ์ของคนอื่นบ้าง สังขารขันธ์อันไม่มีใจครอง
บ้างว่าเป็น อนิจจัง ทุกขัง และอนัตตา ดังนี้ ภิกษุนั้นย่อมพิจารณาเห็น
ธรรมภายในโดยกาลอันควร ย่อมพิจารณาเห็นธรรมภายนอกตามกาลอันควร

ดังนี้ เมื่อเธอพิจารณาอยู่อย่างนี้. ในกาลที่พิจารณาธรรมภายใน ย่อมเชื่อม
ต่อกับมรรคด้วยวิปัสสนา ด้วยอาการฉะนี้ ชื่อว่า อาศัยธรรมภายในออก
จากธรรมภายใน
ก็ถ้าในเวลาพิจารณาธรรมภายนอกของเธอ ย่อมเชื่อม
ต่อกับมรรคด้วยวิปัสสนา ด้วยอาการอย่างนี้ ชื่อว่า อาศัยธรรมภายใน
ย่อมออกจากธรรมภายนอก
. แม้ในการออกเพราะอาศัยธรรมภายนอกแล้ว
ย่อมออกจากธรรมภายนอก และธรรมภายใน ก็นัยนี้เหมือนกัน.
ก็ภิกษุอีกรูปหนึ่ง ย่อมอาศัยรูปตั้งแต่ต้น ครั้นอาศัยแล้วก็กำหนด
ภูตรูป และอุปาทารูป ย่อมเห็นโดยความไม่เที่ยงเป็นต้น แต่เพราะการออก
ด้วยมรรค ย่อมมีเพียงการเห็นรูปล้วน ๆ ก็หาไม่ พึงเห็นแม้อรูปโดยแท้
ฉะนั้น ภิกษุนั้นทำรูปนั้นให้เป็นอารมณ์ แล้วกำหนดเวทนา สัญญา สังขาร
วิญญาณซึ่งเกิดขึ้นแล้วว่า นี้เป็นอรูปดังนี้ ย่อมเห็นโดยความไม่เที่ยงเป็นต้น
ภิกษุนั้นย่อมพิจารณาเห็นรูปโดยกาลอันควร เห็นอรูปโดยกาลอันควร เมื่อ
เธอพิจารณาอยู่อย่างนี้ ในการพิจารณารูป ย่อมเชื่อมต่อกับมรรคด้วยวิปัสสนา
ด้วยอาการอย่างนี้ ชื่อว่า อาศัยรูปแล้วย่อมออกจากรูป. ก็ถ้าในการ
พิจารณาอรูปของเธอ ย่อมเชื่อมต่อกับมรรคด้วยวิปัสสนา ด้วยอาการอย่างนี้
ชื่อว่า อาศัยรูปแล้วย่อมออกจากอรูป. แม้ในการออกจากอรูป และรูป
เพราะอาศัยอรูป ก็นัยนี้เหมือนกัน. ก็ในกาลที่ภิกษุอาศัยธรรมอย่างนี้ ว่า
ธรรมอย่างใดอย่างหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา ธรรมนั้นทั้งหมดมีความ
ดับเป็นธรรมดา ดังนี้ แล้วออกไปจาก (สังขตะ) ธรรม อย่างนี้นั่นแหละ
ชื่อว่า ย่อมออกจากขันธ์ 5 พร้อมกันทีเดียว. นี้เป็นวิปัสสนาของภิกษุ
ผู้มีปัญญามาก ผู้เห็นแจ้งด้วยปัญญาอันคมกล้า.

เหมือนอย่างว่า บุคคลวางก้อนคูถในท่ามกลางโภชนะแล้วน้อมถาด
อันเต็มด้วยโภชนะมีรสอันเลิศต่าง ๆ ไปเพื่อบุรุษผู้มีความอดอยาก บุรุษผู้อด
อยากนั้นเอามือเขี่ยกับข้าวออกเห็นก้อนคูถแล้วพูดว่า นี่อะไร เมื่อเขากล่าวว่า
ก้อนคูถ ดังนี้ จึงกล่าวว่า ถุย ๆ จงเอาออกไป เป็นผู้หมดความอาลัยทั้งใน
อาหารทั้งในถาด ฉันใด คำอุปมาที่นำมาเปรียบนี้ พึงทราบฉันนั้น.
จริงอยู่ กาลที่ภิกษุนี้ถือขันธ์ 5 ว่า เป็นเรา ของเราในกาลที่ยังเป็น
พาลปุถุชน พึงทราบเหมือนกาลที่บุรุษอดอยากนั้นมีใจยินดีในการเห็นถาดโภชนะ
กาลที่กำหนดลักษณะ 3 พึงทราบเหมือนบุรุษนั้นเห็นก้อนคูถ. กาลที่ภิกษุ
ผู้มีปัญญามาก ผู้มีความเห็นแจ้งด้วยปัญญาอันคมกล้าเห็นว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่ง
มีความเกิดขึ้นเป็นธรรม สิ่งนั้นทั้งหมดล้วนมีความดับไปเป็นธรรมดา ดังนี้
แล้วออกจากขันธ์ 5 พร้อมกันนั่นแหละ พึงทราบเหมือนกาลที่บุรุษอดอยาก
นั้น หมดความอาลัยทั้งโภชนะทั้งถาด ฉะนั้น.
ในคำว่า การเปลี่ยนองค์มรรค 7 และ 8 นี้ พึงทราบการเปลี่ยน
องค์ธรรมมีประเภทตามที่กล่าวนี้โดยประการที่มีอยู่. จริงอยู่ สังขารุเบกขาญาณ
เท่านั้น ย่อมกำหนดความต่างกันแห่งโพชฌงค์ (องค์ธรรมเครื่องตรัสรู้)
องค์มรรค (มัคคังคะ) และองค์ฌาน (ฌานังคะ) แต่พระเถระบางพวก
กล่าวว่า ฌานที่เป็นบาทย่อมกำหนดความต่างกันแห่งโพชฌงค์ องค์มรรค
และองค์ฌาน ดังนี้. พระเถระบางพวกกล่าวว่า ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอารมณ์
แห่งวิปัสสนาย่อมกำหนด ดังนี้. พระเถระบางพวกกล่าวว่า อัธยาศัยของบุคคล
ย่อมกำหนด ดังนี้.
ในวาทะทั้งหลายของพระเถระแม้เหล่านั้นพึงทราบว่า วิปัสสนาที่เป็น
บุรพภาคกล่าวคือสังขารุเบกขาญาณ และวิปัสสนาที่เป็นวุฏฐานคามินีนี้ ย่อม
กำหนด ในข้อนี้ มีถ้อยคำตามลำดับ ดังนี้.

จริงอยู่ ว่าโดยการกำหนดแห่งวิปัสสนา มรรคที่เกิดขึ้นแก่พระ-
สุกขวิปัสสกก็ดี มรรคที่เกิดขึ้นแก่บุคคลผู้ได้สมาบัติที่ไม่ทำฌานให้เป็นบาทก็ดี
มรรคที่เกิดขึ้นเพราะทำปฐมฌานให้เป็นบาทแต่พิจารณาปกิณณกสังขารก็ดี ย่อม
เป็นมรรคประกอบด้วยปฐมฌานทั้งนั้น. ในมรรคจิตทั้งหมดย่อมมีโพชฌงค์ 7
มรรคมีองค์ 8 และองค์ฌาน 5 ด้วยว่า วิปัสสนาที่เป็นบุรพภาคแห่งมรรค
แม้เหล่านั้น เป็นสภาพสหรคตด้วยโสมนัสบ้าง สหรคตด้วยอุเบกขาบ้าง แต่
ในกาลเป็นที่ออกไป (วุฏฐานคามินีวิปัสสนา) ถึงความเป็นสังขารุเบกขาญาณ
ย่อมสหรคตด้วยโสมนัสอย่างเดียว.
ในปัญจกนัย ฌานในมรรคที่เกิดขึ้นเพราะทำทุติยฌาน ตติยฌาน
จตุตถฌานให้เป็นบาท มีองค์ 4 องค์ 3 และองค์ 2 โดยลำดับนั่นแหละ
ก็ในมรรคแม้ทั้งหมด ย่อมมีองค์มรรค 7 ในฌานที่ 4 มีโพชฌงค์ 6 นี้
เป็นความแตกต่างกันโดยกำหนดทำฌานให้เป็นบาท และโดยการกำหนดแห่ง
วิปัสสนา. เพราะวิปัสสนาที่เป็นบุรพภาคแห่งมรรคเหล่านั้น สหรคตด้วย
โสมนัสบ้าง สหรคตด้วยอุเบกขาบ้าง แต่วิปัสสนาที่เป็นวุฏฐานคามินีเป็น
ธรรมสหรคตด้วยโสมนัสอย่างเดียว.
ส่วนในมรรคที่พระโยคาวจรทำปัญจมฌานให้เป็นบาทแล้วให้เกิดขึ้น
องค์ฌานมี 2 ด้วยสามารถแห่งอุเบกขาและเอกัคคตาจิต ได้โพชฌงค์ 6 มรรค
มีองค์ 7 เท่านั้น ความแปลกกันแม้นี้ ย่อมมีด้วยสามารถแห่งการกำหนดทั้ง 2
อย่างเพราะในนัยนี้ วิปัสสนาที่เป็นบุรพภาค ย่อมสหรคตด้วยโสมนัส หรือสห-
รคตด้วยอุเบกขา. ส่วนวิปัสสนาที่เป็นวุฏฐานคามินีสหรคตด้วยอุเบกขาเท่านั้น
แม้ในมรรคที่พระโยคาวจรทำอรูปฌานให้เป็นบาทแล้วให้เกิดขึ้น ก็นัยนี้แหละ
สมาบัติที่พระโยคาวจรออกในส่วนที่ใกล้ชิดแห่งมรรคที่ท่านออกจากฌานที่เป็น

บาทด้วยอาการอย่างนี้ แล้วพิจารณาสังขารอย่างใดอย่างหนึ่งให้เกิดแล้ว ย่อม
ทำภาวะเช่นเดียวแก่ตน ดุจสีพื้นดินกระทำเหี้ย ให้มีสีเช่นเดียวกันฉะนั้น.
แต่ในวาทะของพระเถระองค์ที่ 2 มีอธิบายว่า มรรคที่พระโยคาวจร
ออกจากสมาบัติใด ๆ แล้วพิจารณาธรรมในสมาบัติใด ๆ เกิดขึ้น มรรคก็เป็น
เช่นสมาบัตินั้น ๆ นั่นแหละ คือเช่นเดียวกับสมาบัติที่ท่านพิจารณาแล้ว ก็ถ้า
ท่านพิจารณาธรรมอันเป็นกามาวจรทั้งหลาย มรรคก็เป็นอันประกอบปฐมฌาน.
พึงทราบการกำหนดวิปัสสนาแม้นี้ โดยนัยที่กล่าวแล้วในวาทะนั้นนั่นแหละ
ในวาทะของพระเถระองค์ที่ 3 มีอธิบายว่า มรรคที่พระโยคาวจร
กระทำฌานใด ๆ ให้เป็นบาท หรือพิจารณาธรรมใด ๆ ในฌาน สมควรแก่
อัธยาศัยแก่ตนว่า โอหนอ เราพึงบรรลุมรรคประกอบด้วยองค์ 7 หรือองค์ 8
ดังนี้ให้เกิดขึ้น มรรคก็เป็นเช่นเดียวกับฌานนั้น ๆ แหละ ก็แต่ว่ามรรคนั้น
เว้นฌานที่เป็นบาท หรือฌานที่พิจารณาแล้ว ย่อมไม่สำเร็จ เพียงอัธยาศัย
อย่างเดียว. เนื้อความนี้นั้น บัณฑิตพึงแสดงด้วยนันทโกวาทสูตร (ใน
มัชฌิมนิกายสฬายตนวรรค).
จริงอยู่ พระดำรัสนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ในวันอุโบสถ 15 ค่ำนั้น ชนเป็นอันมากย่อมไม่มีความเคลือบแคลง หรือ
สงสัยว่า ดวงจันทร์พร่องหรือเต็มหนอ แต่ที่แท้ดวงจันทร์ก็เต็มแล้วทีเดียว
ฉันใด ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุณีเหล่านั้นเป็นผู้ชื่นชมธรรมเทศนาของ
นันทกะและมีความดำริอันบริบูรณ์แล้ว ฉันนั้นเหมือนกันแล ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย บรรดาภิกษุณีทั้ง 500 รูปเหล่านั้น รูปที่ทรงคุณต่ำยังเป็นถึงพระ-
โสดาบัน มีความไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา แน่นอนที่จะตรัสรู้ในเบื้องหน้า ดังนี้.

ก็บรรดาภิกษุณีเหล่านั้น ภิกษุณีรูปใดมีอุปนิสัยแห่งโสดาปัตติผล
ภิกษุณีรูปนั้น ก็ได้มีความดำริ (สังกัปปะ) บริบูรณ์แล้วด้วยโสดาปัตติผล
เท่านั้น ฯลฯ รูปใดมีอุปนิสัยแห่งพระอรหัต รูปนั้นก็มีความดำริบริบูรณ์แล้ว
ด้วยพระอรหัตเท่านั้น.
มรรคที่พระโยคาวจรการทำฌานใด ๆ ให้เป็นบาท หรือพิจารณา
ธรรมในฌานใด ๆ โดยสมควรแก่อัธยาศัยของตนเกิดขึ้นแล้ว ย่อมเป็นเช่น
เดียวกับฌานนั้น เหมือนกันนั่นแหละ ก็มรรคที่เป็นเช่นเดียวกับฌานนั้น ๆ
เว้นฌานที่เป็นบาท หรือเว้นฌานที่พิจารณาแล้ว ย่อมไม่สำเร็จโดยเพียงเป็น
อัธยาศัยเท่านั้น เพราะฉะนั้น พึงทราบการกำหนดวิปัสสนาโดยนัยที่กล่าวแล้ว
ในวาทะนี้แล.
บรรดาวาทะของพระเถระเหล่านั้น พระจูฬนาคเถระผู้ทรงพระไตร-
ปิฎกมีวาทะอย่างนี้ว่า ฌานที่เป็นบาทเท่านั้นย่อมกำหนด ดังนี้ ได้ถูกอันเตวาสิก
ถามว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ในที่ใดมีฌานที่เป็นบาทอยู่ก่อน ในที่นั้น ฌานที่เป็น
บาทนั้นก็กำหนดได้ แต่ในที่ใด (อรูปภพ) ฌานที่เป็นบาทไม่มี ในที่อรูปภพนั้น
อะไรย่อมกำหนด พระเถระตอบว่า ดูก่อนอาวุโส แม้ในที่นั้น ฌานที่เป็น
บาทเท่านั้นก็ย่อมกำหนด ด้วยว่า ภิกษุใดได้สมาบัติ 8 ทำปฐมฌานให้เป็น
บาทยังโสดาปัตติมรรคและผลให้เกิดขึ้นแล้ว เป็นผู้มีฌานไม่เสื่อม ทำกาละ
เกิดในอรูปภพ ออกจากสมาบัติแห่งโสดาปัตติผลอันประกอบด้วยปฐมฌาน
เริ่มตั้งวิปัสสนายังมรรคและผล 3 ในเบื้องบนให้เกิดขึ้น มรรคและผลเหล่านั้น
ของท่านก็ประกอบปฐมฌานเท่านั้น แม้ในมรรคผลที่ประกอบกับทุติยฌาน
เป็นต้น ก็นัยนี้เหมือนกัน ฌานที่เป็นหมวด 3 หมวด 4 ในอรูปย่อมเกิดขึ้น
ก็ฌานหมวด 3 หมวด 4 นั้นแลเป็นโลกุตระ มิใช่โลกิยะ ดูก่อนอาวุโส

แม้ด้วยอาการอย่างนี้ก็เหมือนกัน ฌานที่เป็นบาทเท่านั้นย่อมกำหนด. พวก
อันเตวาสิกเรียนว่า ท่านขอรับ ปัญหาท่านกล่าวดีแล้ว ดังนี้.
แม้พระมหาทันธเถระผู้อยู่ที่โมรวาปีวิหารผู้มีวาทะอย่างนี้ว่า ขันธ์
ทั้งหลายที่เป็นอารมณ์ของวิปัสสนาย่อมกำหนด ด้วยว่าพิจารณาธรรมใด ๆ
แล้วออก มรรคย่อมเป็นเช่นกับธรรมนั้น ๆ นั่นแหละ ดังนี้ ถูกพวกอันเตวาสิก
ถามว่า ท่านขอรับ ในวาทะของท่านข้อควรตำหนิย่อมปรากฏ ด้วยว่า ภิกษุ
ผู้พิจารณารูปแล้วออก (จากสังขตอารมณ์) ได้แล้ว มรรคก็พึงเป็นอัพยากตะ
เหมือนรูป พระโยคาวจรกำหนดเนวสัญญานาสัญญายตนะโดยนัยแล้วออกไป
ก็พึงเป็นมรรคถึงความเป็นเนวสัญญานาสัญญายตนะเช่นเดียวกันกับเนวสัญญา-
นาสัญญายตนะนั้น ดังนี้ พระเถระตอบว่า ดูก่อนอาวุโส เป็นเช่นนั้นหามิได้
เพราะโลกุตรมรรค ชื่อว่า ไม่ถึงอัปปนา มิได้มี เพราะฉะนั้น ภิกษุ
พิจารณารูปแล้วออกไปได้ มรรคประกอบด้วยองค์ 8 ย่อมสหรคตด้วยโสมนัส
เมื่อพิจารณาเนวสัญญานาสัญญายตนะแล้ว แม้ออกไปได้ ย่อมเป็นเช่นนั้น
โดยอาการทั้งปวงหามิได้ ส่วนมรรคที่สหรคตด้วยอุเบกขา ย่อมเป็นมรรค
มีองค์ 7 ดังนี้.
แม้พระจูฬาภยเถระผู้ทรงพระไตรปิฎก ซึ่งมีวาทะว่า อัชฌาสัยแห่ง
บุคคลย่อมกำหนด ดังนี้ ได้ถูกพวกอันเตวาสิกนำวาทะของท่านไปถามพระ-
จูฬนาคเถระผู้ทรงพระไตรปิฎก พระจูฬนาคเถระจึงกล่าวว่า ฌานที่เป็นบาท
มีอยู่แก่บุคคลใด อัชฌาสัยแห่งบุคคลย่อมกำหนดแก่บุคคลนั้น ฌานที่เป็นบาท
นั้นไม่มีแก่ภิกษุใด อัชฌาสัยอะไรเล่าจักกำหนดแก่ภิกษุนั้น เพราะฉะนั้น
สภาวะนั้น ย่อมเป็นดุจเวลาที่แสวงหากำไรของบุคคลไร้ทรัพย์ ฉะนั้น.

พวกอันเตวาสิกได้นำเรื่องนั้น มาเรียนแก่พระจูฬาภยเถระผู้ทรง
พระไตรปิฎก. พระเถระนั้นกล่าวว่า ดูก่อนอาวุโสทั้งหลาย ถ้อยคำนี้ท่านกล่าว
สำหรับบุคคลผู้มีฌานเป็นบาท เหมือนอย่างว่า อัชฌาสัยของบุคคลแม้ผู้มีฌาน
เป็นบาท ฉันใด แม้บุคคลผู้มีฌานอันพิจารณาแล้ว ก็พึงทราบฉันนั้นเหมือนกัน
เพราะมรรคที่พระโยคาวจรออกจากปัญจมฌานเกิดขึ้น โดยพิจารณาปฐมฌาน
เป็นต้น ประกอบด้วยปัญจมฌาน ก็ย่อมประสบตามวาทะของพระเถระ
รูปแรก และมรรคที่ประกอบด้วยปฐมฌานเป็นต้น ก็ย่อมประสบตามวาทะ
ของพระเถระรูปที่สอง เพราะเหตุนั้น วาทะแม้ทั้ง 2 ย่อมผิด แต่ในฌาน
เหล่านั้น ในวาทะของพระเถระที่ 3 ว่า พระโยคาวจรย่อมปรารถนาฌานใด
มรรคก็ประกอบด้วยฌานนั้น ดังนั้น วาทะเหล่านั้นของท่านจึงไม่ผิด และภิกษุ
นั้นก็เป็นผู้มีอัชฌาสัยเป็นไปกันด้วยประโยชน์ ดังนี้ พระเถระแม้ทั้ง 3 รูป
เป็นบัณฑิต เป็นผู้ฉลาด เป็นผู้สมบูรณ์ด้วยคุณธรรมอันเจริญ ด้วยเหตุนั้น
อันเตวาสิกเหล่านั้น จึงทำวาทะของพระเถระทั้ง 3 เหล่านั้น ให้เป็นแบบแผน
ก็ในอภิธรรมนี้ข้าพเจ้าจึงยกอรรถนั้นแหละขึ้นแสดงว่า ก็วิปัสสนาย่อมกำหนด
วาทะทั้ง 3 นี้ ดังนี้.
บัดนี้ พึงทราบวินิจฉัยในคำนี้ว่า นิมิตฺตปฏิปทาปติ (นิมิต ปฏิปทา
และอธิบดี) ต่อไป. ถามว่า กาลเกิดขึ้นแห่งมรรคซึ่งเปลี่ยนองค์อย่างนี้ โคตรภู
ย่อมออกไปจากที่ไหน มรรคย่อมออกไปจากที่ไหน ? ตอบว่า โคตรภูย่อม
ออกจากนิมิตก่อน แต่ไม่อาจตัด (กิเลส) ที่เป็นไปได้ เพราะโคตรภูนั้นมีการ
ออกไปอย่างเดียว มรรคย่อมออกจากนิมิต ย่อมตัด (กิเลส) ที่เป็นไปได้
เพราะมรรคนี้มีการออกไปทั้ง 2 อย่าง. บรรดาการออกไปแห่งโคตรภูและ
มรรคนั้น พึงทราบนัยที่เกิดขึ้น ดังต่อไปนี้.

ก็ในวาระ (คือในมรรควิถี) ใด มีการออกไปด้วยมรรค ในวาระนั้น
ไม่มีอนุโลมดวงเดียว ไม่มีอนุโลมดวงที่ 5 เพราะอนุโลมมีครั้งเดียวย่อมไม่ได้
อาเสวนปัจจัย อนุโลมดวงที่ 5 ย่อมหวั่นไหว เพราะใกล้ตกภวังค์ เพราะว่า
ในคราว (ขณะ) จิตใกล้ภวังค์ดวงที่ 5 นั้นชื่อว่า จิตตกไปแล้ว เพราะฉะนั้น
อนุโลมจึงไม่มีดวงเดียว ไม่มีในดวงที่ 5.
ก็บุคคลผู้มีปัญญามากมีอนุโลม 2 ดวง ดวงที่ 3 เป็นโคตรภู ดวงที่ 4
เป็นมรรคจิต มีผลจิต 3 ดวง จากนั้นจิตก็ลงสู่ภวังค์.
ส่วนบุคคลผู้มีปัญญาปานกลาง อนุโลมมี 3 ดวง ดวงที่ 4 เป็น
โคตรภู ดวงที่ 5 เป็นมรรคจิต มีผลจิต 2 ดวง จากนั้นก็ลงสู่ภวังค์.
สำหรับคนมีปัญญาน้อย (มันทปัญญา) อนุโลมมี 4 ดวง ดวงที่ 5
เป็นโคตรภู ดวงที่ 6 เป็นมรรคจิต ดวงที่ 7 เป็นผลจิต จากนั้นจิตก็ลงสู่
ภวังค์.
บรรดาพระโยคาวจร 3 ประเภทนั้น ข้าพเจ้าไม่กล่าวด้วยสามารถแห่ง
ท่าน ผู้มีปัญญามากและมีปัญญาน้อย แต่พึงกล่าวด้วยสามารถแห่งท่านผู้มีปัญญา
ปานกลาง เพราะในวาระคือ (วิถีแห่งมรรค) ใด มีการออกไปด้วยมรรค
มโนวิญญาณธาตุที่เป็นอเหตุกกิริยา เป็นธรรมสหรคตด้วยอุเบกขา เป็นมโน-
ทวาราวัชชนจิตให้ภวังค์เคลื่อนไปกระทำขันธ์ทั้งหลาย ที่เป็นอารมณ์แห่ง
วิปัสสนาให้เป็นอารมณ์ ถัดจากนั้นไป ชวนะดวงแรก ชื่ออนุโลมญาณ
ก็เกิดขึ้นถือเอาขันธ์ที่มโนทวาราวัชชนจิตนั้นถือเป็นอารมณ์ อนุโลมญาณนั้น
ก็เป็นไปในขันธ์เหล่านั้นว่า ไม่เที่ยงบ้าง เป็นทุกข์บ้าง เป็นอนัตตาบ้าง
บรรเทาความมืดที่หยาบๆ ซึ่งปกปิดสัจจะ กระทำลักษณะทั้ง 3 ให้แจ่มแจ้งยิ่งๆ
ขึ้นก็ดับไป ถัดจากนั้นอนุโลมญาณดวงที่ 2 ก็เกิดขึ้น ในบรรดาอนุโลมญาณ

2 ดวงนั้น ดวงแรกไม่มีอาเสวนปัจจัย ดวงที่ 2 มีดวงแรกเป็นอาเสวนปัจจัย
ดวงที่ 2 นั้นมีอาเสวนปัจจัยได้แล้วจึงเป็นญาณ คมกล้า ผ่องใสเป็นไปใน
อารมณ์นั้นนั่นแหละ โดยอาการนั้นเหมือนกัน บรรเทาความมืดปานกลาง
ซึ่งปกปิดสัจจะไว้ การทำลักษณะ 3 ให้แจ่มแจ้งยิ่ง ๆ ขึ้นแล้วดับไป ในลำดับ
นั้น อนุโลมญาณดวงที่ 3 ก็เกิดขึ้นมีอนุโลมญาณดวงที่ 2 เป็นอาเสวนปัจจัย
แม้อนุโลมญาณดวงที่ 3 แม้นั้นเพราะมีอาเสวนปัจจัยได้แล้วจึงคมกล้าผ่องใส
เป็นไปในอารมณ์นั้นนั่นแหละ โดยอาการนั้นเหมือนกัน บรรเทาความมืดอัน
ละเอียดที่เหลือซึ่งปกปิดสัจจะนั้น กระทำให้หมดไป กระทำลักษณะ 3 แจ่มแจ้ง
ยิ่งๆ ขึ้นแล้วดับไป เมื่ออนุโลมญาณ 3 บรรเทาความมืดปกปิดสัจจะอย่างนี้แล้ว
ลำดับนั้น โคตรภูญาณก็เกิดขึ้นการทำพระนิพพานให้เป็นอารมณ์.
ในข้อนั้น มีอุปมา ดังนี้
ได้ยินว่า บุรุษมีจักษุดีคนหนึ่ง คิดว่า เราจักประกอบดาวฤกษ์ (ดูดวง
ชะตา) จึงออกไปในเวลาราตรีแหงนดูดวงจันทร์ ดวงจันทร์ไม่ปรากฏแก่เขา
เพราะวลาหก (เมฆ) ทั้งหลายปิดบังไว้ ขณะนั้นลมหนึ่งตั้งขึ้นแล้วพัดวลาหก
หนา ๆ (หยาบ) ทั้งหลายให้กระจัดกระจายไป ลมอื่นอีกตั้งขึ้นพัดวลาหก
อย่างกลาง ลมอีกอย่างหนึ่งก็ตั้งขึ้นพัดวลาหกแม้ที่ละเอียดให้กระจัดกระจายไป.
ลำดับนั้น บุรุษนั้นจึงเห็นดวงจันทร์นั้นบนท้องฟ้าที่ปราศจากวลาหกทั้งหลาย
ได้รู้แล้วซึ่งการประกอบดาวฤกษ์.
ในคำอุปมาเหล่านั้น ความมืดคือกิเลสอย่างหยาบ อย่างกลาง อย่าง
ละเอียดอันปกปิดซึ่งสัจจะเปรียบเหมือนวลาหก (เมฆ) 3 กลุ่ม. อนุโลมจิต 3
ดวงเปรียบเหมือนลม 3 ชนิด. โคตรภูญาณเปรียบเหมือนบุรุษผู้มีตาดี. พระ-
นิพพานเปรียบเหมือนพระจันทร์. การบรรเทาความมืดอันปกปิดซึ่งสัจจะของ

อนุโลมจิตแต่ละดวง เปรียบเหมือนลมแต่ละชนิดทำลายเมฆ 3 ชนิดโดยลำดับ.
เมื่อความมืดอันปกปิดซึ่งสัจจะปราศจากไปแล้ว โคตรภูญาณก็ทำพระนิพพาน
อันบริสุทธิ์ให้เป็นอารมณ์เปรียบเหมือนการที่บุรุษนั้นเห็นพระจันทร์บริสุทธิ์บน
ท้องฟ้าที่ปราศจากวลาหก ฉะนั้น.
เหมือนอย่างว่า ลม 3 ชนิดย่อมสามารถเพื่อกำจัดวลาหก อันปกปิด
ดวงจันทร์นั่นแหละ ฉันใด อนุโลมญาณทั้งหลายก็สามารถเพื่อกำจัดความมืด
อันปกปิดสัจจะ ฉันนั้นเหมือนกัน แต่ไม่อาจกระทำพระนิพพานให้เป็นอารมณ์
บุรุษย่อมอาจเพื่อเห็นดวงจันทร์นั่นแหละ แต่ไม่อาจกำจัดวลาหกทั้งหลายได้
ฉันใด โคตรภูญาณก็ย่อมอาจเพื่อทำพระนิพพานนั้นแหละให้เป็นอารมณ์ได้
แต่ไม่อาจกำจัดความมืดคือกิเลสได้ ฉันนั้น. อนุโลมญาณมีสังขารเป็นอารมณ์
โคตรภูญาณมีพระนิพพานเป็นอารมณ์ ด้วยอาการอย่างนี้. ก็ผิว่าโคตรภูญาณ
พึงรับอารมณ์ที่อนุโลมญาณรับไว้แล้ว อนุโลมญาณอีกดวงหนึ่งก็พึงผูกพัน
โคตรภูญาณ (คำว่าผูกพันคือมีอารมณ์เดียวกัน) นั้น เพราะฉะนั้น การออก
ด้วยมรรคนั่นแหละก็ไม่พึงมี แต่ว่า โคตรภูญาณไม่รับอารมณ์ของอนุโลมญาณ
กระทำอนุโลมญาณอารมณ์ ให้เป็นไปข้างหลัง โคตรภูญาณเองแม้มิใช่อาวัช-
ชนะแต่ก็ตั้งอยู่ในฐานะแห่งอาวัชชนะ เป็นดุจให้สัญญาแก่มรรคนั้นด้วยคำว่า
ท่านจงเกิดขึ้นอย่างนี้แล้วก็ดับไป. แม้มรรคก็มิได้ละสัญญาที่โคตรภูนั้นให้แล้ว
ผูกพันอยู่ซึ่งญาณนั้น ด้วยอำนาจแห่งความสืบต่อ ดุจกระแสคลื่น (ติดต่อ
กันไปไม่ขาดระยะ) ย่อมบังเกิดขึ้นเจาะแทงอยู่ บดทำลายอยู่ซึ่งกองโลภะ
กองโทสะ กองโมหะ ซึ้งไม่เคยเจาะแทง ไม่เคยทำลาย.
ในข้อนั้น มีอุปมาดังนี้ ต่อไปนี้

ได้ยินว่า นายขมังธนูคนหนึ่งให้ตั้งโล่ไว้ร้อยโล่ในที่ไกลสุดชั่วร้อยธนู
เอาผ้าผูกหน้าแล้วเหน็บลูกศรได้ยืนอยู่ในที่บนล้อยนต์ บุรุษคนอื่นหมุนล้อยนต์
เมื่อใดแผ่นโล่ตรงหน้านายขมังธนู ในกาลนั้นก็จะให้สัญญาด้วยท่อนไม้เล็ก ๆ
ในที่นั้น นายขมังธนูไม่ละสัญญาท่อนไม้เล็ก ๆ เลย ปล่อยลูกศรออกไปเจาะ
แผ่นโล่ตั้งร้อยได้.
ในข้ออุปมานั้น โคตรภูญาณเปรียบเหมือนท่อนไม้เล็ก ๆ. มรรคญาณ
เปรียบเหมือนนายขมังธนู. การที่มรรคญาณไม่ละสัญญาที่โคตรภูญาณให้แล้ว
นั่นแหละ ทำพระนิพพานให้เป็นอารมณ์ทีเดียวและเจาะบดทำลายกองโลภะ
เป็นต้น ที่ไม่เคยเจาะแล้ว ไม่เคยบดทำลายแล้ว เปรียบเหมือนการที่นายขมังธนู
ไม่ละสัญญาท่อนไม้เล็ก ๆ แล้ว ยิงเจาะแผ่นโล่ตั้งร้อยได้ ฉะนั้น.
แม้การเจาะบดทำลายกองโลภะเป็นต้น น ท่านก็กล่าวว่า การถอนขึ้น
ซึ่งกิเลสที่ได้ภูมิแล้ว คือ กิเลสที่เป็นเหตุแห่งวัฏฏะ ดังนี้เหมือนกัน เพราะกิจ
ของมรรคมีอย่างเดียวเท่านั้น คือการละอนุสัย. มรรคนั้นเมื่อละอนุสัยทั้งหลาย
ชื่อว่า ย่อมออกจากนิมิต ชื่อว่า ย่อมตัดความเป็นไป. คำว่า นิมิต คือ
นิมิตแห่งรูปเวทนาสัญญาสังขารและวิญญาณ. คำว่า ปวตฺตํ (ความเป็นไป) ต่อ
ความเป็นไปของรูปเวทนาสัญญาสังขารและวิญญาณนั่นแหละ ปวัตตะคือความ
เป็นไปนั้นมี 2 อย่าง ได้แก่ อุปาทินนกะและอนุปาทินนกะ ในสองอย่างนั้น
อาจารย์บางพวกกล่าวว่า ฉายาแห่งการออกไปจากอนุปาทินนกะ ย่อมปรากฏแก่
มรรค ดังนี้ แล้วกล่าวว่า ย่อมออกจากอนุปาทินนกขันธ์ ดังนี้.
จริงอยู่ อกุศลจิต 5 ดวง คือ ที่สัมปยุตด้วยทิฏฐิ 4 ดวง และที่
สัมปยุตด้วยวิจิกิจฉา 1 ดวง ย่อมละได้ด้วยโสดาปัตติมรรค. อกุศลจิต 5 ดวง
เหล่านั้นย่อมยังรูปให้ตั้งขึ้น รูปนั้นเป็นอนุปาทินนกะ เป็นรูปขันธ์ จิต 5 ดวง

เหล่านั้น คือ วิญญาณขันธ์ อรูปขันธ์ 3 คือเวทนาสัญญาและสังขารขันธ์ที่
สัมปยุตด้วยวิญญาณขันธ์นั้น. บรรดามรรคเหล่านั้น ถ้าพระโสดาบันจักไม่ให้
โสดาปัตติมรรคเกิดขึ้นไซร้ อกุศลจิตทั้ง 5 เหล่านี้ก็พึงถึงการกลุ้มรุมในอารมณ์
ทั้ง 6. ก็โสดาปัตติมรรค เมื่อจะห้ามการเกิดกลุ้มรุมของอกุศลเหล่านั้นจึง
ทำการถอนขึ้นซึ่งเสตุคือเหตุให้ไม่มีภาวะที่ควรจะเกิดขึ้น จึงชื่อว่า ย่อมออก
จากอนุปาทินนกขันธ์
.
สกทาคามิมรรค ย่อมละอกุศลจิต 6 ดวง ที่เป็นกามราคะและ
พยาบาทอย่างหยาบ คือ จิต 4 ดวงที่เป็นทิฏฐิวิปปยุต และจิต 2 ดวงที่เป็น
โทมนัสสสหคตะ. อนาคามิมรรค ย่อมละจิต 6 ดวงเหล่านั้นนั่นแหละที่เป็น
กามราคะและพยาบาทอย่างละเอียด. อรหัตมรรค ย่อมละอกุศลจิต 5 คือ
อกุศลจิต 4 ดวงที่เป็นทิฏฐิวิปปยุต และจิตที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ. บรรดา
อกุศลจิตเหล่านั้น ถ้าพระอริยะเหล่านั้นไม่พึงเจริญมรรคให้เกิดขึ้นไซร้
อกุศลจิตเหล่านั้นก็พึงถึงการกลุ้มรุมในอารมณ์ 6 แต่มรรคเหล่านั้น เมื่อห้าม
การเกิดขึ้นกลุ้มรุมแห่งจิตเหล่านั้นจึงทำการถอนขึ้นซึ่งเสตุคือเหตุให้มีภาวะที่
ไม่ควรเกิดขึ้นได้ จึงชื่อว่า ย่อมออกจากอนุปาทินนกขันธ์.
อาจารย์ทั้งหลายกล่าวว่า ฉายาแห่งการออกไปจากอุปาทินนกขันธ์
ดังนี้ แล้วกล่าวว่า ย่อมออกจากอุปาทินนกขันธ์ ดังนี้. ก็ถ้าพระโสดาบัน
จักไม่เจริญให้โสดาปัตติมรรคเกิดแล้ว ความเป็นไป แห่งอุปาทินนกขันธ์
ก็พึงเป็นไปในสังสารวัฏอันมีเบื้องต้นและที่สุดที่บุคคลรู้ไม่ได้แล้ว เว้นไว้
7 ภพ. เพราะเหตุไร ? เพราะเหตุแห่งความเป็นไปของอุปาทินนกขันธ์นั้น
ยังมีอยู่ ก็โสดาปัตติมรรคเมื่อเกิดขึ้นนั่นแหละย่อมถอนขึ้นซึ่งกิเลส 5 เหล่านี้
คือ สัญโญชน์ 3 อย่าง ทิฏฐานุสัย และวิจิกิจฉานุสัย บัดนี้ ความเป็นไป

แห่งอุปาทินนกะ จักเป็นในสังสารวัฏที่มีเบื้องต้นและที่สุดซึ่งบุคคลรู้ไม่ได้แล้ว
ของพระโสดาบันเว้น 7 ภพแต่ที่ไหน. โสดาปัตติมรรคเมื่อกระทำความเป็นไป
แห่งอุปาทินนกขันธ์ไม่ให้เป็นไป ชื่อว่า ย่อมออกจากอุปาทินนกขันธ์
ด้วยประการฉะนี้.
ถ้าพระสกทาคามีจักไม่เจริญสกทาคามิมรรคให้เกิดขึ้นไซร้ ความเป็น
ไป ของอุปาทินนกะก็พึงเป็นไปในภพทั้ง 5 เว้น 2 ภพ เพราะเหตุไร
เพราะเหตุแห่งความเป็นไปของอุปาทินนกขันธ์นั้นยังมีอยู่. ก็สกทาคามิมรรค
นั้นเมื่อเกิดขึ้นนั่นแหละ ย่อมถอนขึ้นซึ่งกิเลสทั้ง 4 คือ กามราคะ
ปฏิฆสัญโญชน์อย่างหยาบ กามราคานุสัยอย่างหยาบ ปฏิฆานุสัยอย่างหยาบ.
บัดนี้ ความเป็นไปแห่งอุปทินนกขันธ์ของพระสกทาคามีจักเป็นไปในภพทั้ง 5
เว้น 2 ภพแต่ที่ไหน. สกทาคามิมรรคเมื่อทำความเป็นไป แห่งอุปาทินนก-
ขันธ์ไม่ให้เป็นไป ชื่อว่า ย่อมออกจากอุปาทินนกขันธ์ ด้วยประการ
ฉะนี้.
ถ้าพระอนาคามีจักไม่เจริญอนาคามิมรรคให้เกิดไซร้ ความเป็นไป
แห่งอุปาทินนกะก็พึงเป็นไปในภพที่ 2 เว้น 1 ภพ. เพราะเหตุไร ? เพราะ
เหตุแห่งความเป็นไปแห่งอุปาทินนกขันธ์ยังมีอยู่ ก็อนาคามิมรรคนั้น เมื่อ
เกิดขึ้นนั่นแหละย่อมถอนขึ้นซึ่งกิเลส 4 เหล่านี้ คือ กามราคสังโยชน์อย่าง
ละเอียด 1 ปฏิฆสังโยชน์อย่างละเอียด 1 กามราคานุสัยอย่างละเอียด 1
ปฏิฆานุสัยอย่างละเอียด 1. บัดนี้ ความเป็นไปแห่งอุปาทินนกขันธ์ของพระ-
อนาคามีจักเป็นไปในภพที่ 2 เว้นภพเดียว แต่ที่ไหน. อนาคามิมรรคเมื่อ
กระทำปวัตตะแห่งอุปาทินนกขันธ์ไม่ให้เป็นไป ชื่อว่า ย่อมออกจาก
อุปาทินนกขันธ์
ด้วยประการฉะนี้.

ถ้าพระอรหันต์จักไม่อบรมอรหัตมรรคให้เกิดไซร้ ความเป็นไปแห่ง
อุปาทินนกขันธ์ ก็พึงเป็นไปในรูปภพและอรูปภพ เพราะเหตุไร ? เพราะเหตุ
ทั้งหลายแห่งความเป็นไปในอุปาทินนกขันธ์ยังมีอยู่. ก็อรหัตมรรคนั้นเมื่อ
เกิดขึ้นนั่นแหละ ย่อมถอนขึ้นซึ่งกิเลส 8 เหล่านี้ คือ รูปราคะ 1 อรูปราคะ 1
มานะ1 อุทธัจจะ 1 อวิชชา 1 มานานุสัย 1 ภวราคานุสัย 1 อวิชชานุสัย 1.
บัดนี้ ปวัตตะแห่งอุปาทินนกขันธ์ ของพระขีณาสพจักเป็นไปในภพใหม่ได้
แต่ที่ไหน. อรหัตมรรคเมื่อกระทำปวัตตะแห่งอุปาทินนกขันธ์ไม่ให้เป็นไป
นั่นแหละ ชื่อว่า ย่อมออกจากอุปาทินนกขันธ์ ด้วยประการฉะนี้.
ก็บรรดามรรคทั้ง 4 เหล่านั้น โสดาปัตติมรรคย่อมออกจากอบายภพ
สกทาคามิมรรคย่อมออกจากเอกเทศแห่งสุคติกามภพ อนาคามิมรรคย่อมออก
จากกามภพ อรหัตมรรคย่อมออกจากรูปภพและอรูปภพ อาจารย์บางพวก
กล่าวว่า อรหัตมรรคย่อมออกแม้จากภพทั้งปวง ดังนี้ทีเดียว.
ก็เพื่อความแจ่มแจ้งเนื้อความนี้ พึงทราบบาลีต่อไปนี้. ธรรม คือ
นามและรูปเหล่าใด
พึงเกิดขึ้นในสังสารวัฏซึ่งมีเบื้องต้นและที่สุด อันบุคคล
รู้ไม่ได้แล้วเว้น 7 ภพ ธรรมเหล่านั้นย่อมดับ คือ ย่อมสงบ ย่อมตั้งอยู่ไม่ได้
ย่อมระงับไปในที่นั้น เพราะการดับไปแห่งอภิสังขารวิญญาณ ด้วยโสดา-
ปัตติมรรคญาณ
. ธรรมคือนามและรูปเหล่าใดนั่นแหละ พึงเกิดขึ้นใน 5 ภพ
เว้น 2 ภพ ธรรมเหล่านั้นย่อมดับ คือ ย่อมสงบ ย่อมถึงการตั้งอยู่ไม่ได้
ย่อมระงับไปในที่นั้น เพราะการดับไปแห่งอภิสังขารวิญญาณ ด้วยสกทา-
คามิมรรคญาณ
. ธรรม คือ นามและรูปเหล่าใดพึงเกิดขึ้นใน 2 ภพ เว้น
ภพหนึ่ง ธรรมเหล่านั้นย่อมดับ คือ ย่อมสงบ ย่อมถึงการยังอยู่ไม่ได้ ย่อม
ระงับไปในที่นั้น เพราะการดับไปแห่งอภิสังขารวิญญาณ ด้วยอนาคามิมรรค-

ญาณ. ธรรม คือ นามและรูปเหล่าใดพึงเกิดขึ้นในรูปธาตุบ้าง อรูปธาตุบ้าง
ธรรมเหล่านั้นย่อมดับ คือ ย่อมสงบ ย่อมถึงการตั้งอยู่ ไม่ได้ ย่อมระงับไป
ในที่นั้นแหละ เพราะการดับไปแห่งอภิสังขารวิญญาณ ด้วยอรหัตมรรคญาณ
เมื่อพระอรหันต์กำลังปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ ธรรมเหล่านี้ คือ
ปัญญา สติ นาม และรูป ย่อมดับ คือ ย่อมสงบ ย่อมถึงการยังอยู่ไม่ได้
ย่อมระงับไปในที่นั้น เพราะการดับไปแห่งวิญญาณดวงสุดท้าย (คือ จุติจิต )
ดังนี้ วินิจฉัยในนิมิต (คือความเป็นไปแห่งขันธ์ 5) เท่านี้.
พึงทราบวินิจฉัยในคำว่า ปฏิปทา และอธิปติ นี้ต่อไป.
ถามว่า ปฏิปทาย่อมหวั่นไหว หรือไม่หวั่นไหว ?
ตอบว่า ย่อมหวั่นไหว.
ก็มรรคแม้ทั้ง 4 ของพระตถาคต และพระสารีบุตรเถระได้เป็น
สุขาปฏิปทา ขิปปาภิญญา มรรคแรกของพระมหาโมคคัลลานเถระเป็น
สุขาปฏิปทา ขิปปาภิญญา แต่มรรค 3 เบื้องบนของท่านเป็นทุกขาปฏิปทา
ขิปปาภิญญา เพราะเหตุไร ? เพราะท่านถูกความหลับครอบงำ.
ได้ยินว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเฝ้าดูพระเถระดุจเป็นเด็กน้อยตลอด
7 วัน. แม้พระเถระก็นั่งหลับอยู่ตลอดวัน ครั้งนั้น พระศาสดาตรัสกะท่านว่า
ดูก่อนโมคคัลลานะ เธอโงกง่วงหรือ ดูก่อนโมคคัลลานะ เธอโงกง่วงหรือหนอ
เป็นต้น.2 ปฏิปทาของพระสาวกผู้บรรลุมหาอภิญญาแม้เห็นปานนี้ยังหวั่นไหว
ปฏิปทาของพระสาวกที่เหลือจักไม่หวั่นได้อย่างไร.
จริงอยู่ มรรค 4 ของภิกษุบางรูปเป็นทุกขาปฏิปทา ทันธาภิญญา
บางรูปเป็นทุกขาปฏิปทา ขิปปาภิญญา บางรูปเป็นสุขาปฏิปทา ทันธาภิญญา
1. ขุ. จูนิทเทส เล่ม 30. 89/22 2. อํ. สตฺตก เล่ม 23. 58/87

บางรูปเป็นสุขาปฏิปทา ขิปปาภิญญา. มรรคที่ 1 ของภิกษุบางรูปเป็น
ทุกขาปฏิปทา ทันธาภิญญา มรรคที่ 2 เป็นทุกขาปฏิปทา ขิปปาภิญญา
มรรคที่ 3 เป็นสุขาปฏิปทา ทันธาภิญญา มรรคที่ 4 เป็นสุขาปฏิปทา
ขิปปาภิญญา.
อนึ่ง อธิบดีก็ย่อมหวั่นไหวเหมือนปฏิปทานั่นแหละ จริงอยู่ มรรค
แม้ทั้ง 4 ของภิกษุบางรูปย่อมเป็นฉันทาธิปไตย ของบางรูปเป็นวิริยาธิปไตย
ของบางรูปเป็นจิตตาธิปไตย ของบางรูปเป็นวิมังสาธิปไตย อนึ่ง มรรคที่ 1
ของบางรูปเป็นฉันทาธิปไตย มรรคที่ 2 เป็นวิริยาธิปไตย มรรคที่ 3 เป็น
จิตตาธิปไตย มรรคที่ 4 เป็นวิมังสาธิปไตย ดังนี้แล.
ปกิณณกกถาจบ

บัดนี้ พระโยคาวจรเมื่อเจริญโลกุตรกุศล ย่อมเจริญฌานด้วยอรรถว่า
เข้าไปเพ่งอย่างเดียวเท่านั้นก็หาไม่ ที่แท้ย่อมเจริญแม้มรรคด้วยอรรถว่านำออก
ย่อมเจริญแม้สติปัฏฐานด้วยอรรถว่าการตั้งมั่น ย่อมเจริญแม้สัมมัปปธานด้วย
อรรถว่าการทำความเพียร ย่อมเจริญแม้อิทธิบาทด้วยอรรถว่าการสำเร็จ ย่อม
เจริญแม้อินทรีย์ด้วยอรรถว่าความเป็นใหญ่ ย่อมเจริญแม้พละด้วยอรรถว่าไม่
หวั่นไหว ย่อมเจริญแม้โพชฌงค์ด้วยอรรถว่าการตรัสรู้ ย่อมเจริญแม้สัจจะด้วย
อรรถว่าเป็นธรรมจริง ย่อมเจริญแม้สมถะด้วยอรรถว่าความไม่ฟุ้งซ่าน ย่อมเจริญ
ธรรมแม้ด้วยอรรถว่าความเป็นสุญญตะ ย่อมเจริญแม้ขันธ์ด้วยอรรถว่าเป็นกอง
ย่อมเจริญแม้อายตนะด้วยอรรถว่าเป็นบ่อเกิด ย่อมเจริญแม้ธาตุด้วยอรรถว่า
เป็นสภาวสูญและเป็นนิสสัตตธรรม ย่อมเจริญแม้อาหารด้วยอรรถว่าเป็นปัจจัย

ย่อมเจริญแม้ผัสสะด้วยอรรถว่ากระทบ ย่อมเจริญแม้เวทนาด้วยอรรถว่าเสวย-
อารมณ์ ย่อมเสวยแม้สัญญาด้วยอรรถว่าควรจำได้ ย่อมเจริญแม้เจตนาด้วย
อรรถว่าความจงใจ ย่อมเจริญแม้ด้วยอรรถว่าการรู้ เพราะฉะนั้น เพื่อ
ทรงแสดงนัย 19 แห่งธรรมเหล่านั้น จึงตรัสคำเป็นต้นว่า กตเม ธมฺมา
กุสลา
ดังนี้อีก.
พระองค์ทรงแสดงนัย 20 โดยอัชฌาสัยของบุคคลและโดยเทศนาวิลาส
ด้วยพระดำรัส ว่า บุคคลย่อมเจริญธรรมแม้นี้ ย่อมเจริญธรรมแม้นี้ ด้วย
ประการฉะนี้.
จริงอยู่ ในเทพบริษัทผู้นั่งฟังธรรม เทพเหล่าใด เมื่อพระองค์ตรัสว่า
ชื่อว่า โลกุตรฌาน เพราะอรรถว่าเข้าไปเพ่ง ดังนี้ ย่อมตรัสรู้ได้ พระองค์
ก็ตรัสคำว่า ฌาน ดังนี้ ด้วยสามารถแห่งสัปปายะแก่เทพเหล่านั้น ฯลฯ เทพ
เหล่าใด เมื่อพระองค์ตรัสว่า แม้จิต เพราะอรรถว่าการรู้ ดังนี้ ย่อมตรัสรู้ได้
พระองค์ก็ตรัสคำว่า จิต ด้วยสามารถสัปปายะแก่ชนเหล่านั้น. นี้เป็นอัชฌาสัย
แห่งบุคคลในอธิการนี้.
ก็พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะความที่พระองค์ตรัสรู้แล้ว และมี
โพธิญาณอันดี และเพราะประกอบทศพลญาณ จตุเวสารัชชญาณ ปฏิสัมภิทา 4
และอสาธารณญาณ 6 จึงทรงกำหนดเทศนาแสดงธรรมตามความพอพระหฤทัย
ได้ เมื่อพระองค์ทรงปรารถนาก็ย่อมแสดงว่า โลกุตรฌานด้วยอรรถว่าเข้าไป
เพ่ง ดังนี้ เมื่อปรารถนาก็ทรงแสดงคำว่า มรรค ด้วยอรรถว่านำออก ดังนี้ฯลฯ
เมื่อทรงปรารถนาก็ทรงแสดงคำว่า โลกุตรจิต ด้วยอรรถว่าการรู้อารมณ์ ดังนี้
นี้ชื่อว่า เทศนาวิลาส ในเทศนาวิลาสนั้นทรงจำแนกนัยไว้ 10 ในที่ตรัสว่า

โลกุตรฌาน ฉันใด พึงทราบนัยเหล่านั้นแม้มีคำว่า มรรคเป็นต้น ฉันนั้น
นั่นแหละ ด้วยประการฉะนี้ ย่อมเป็นอันทรงจำแนกนัย 200 นัย การทำใน
ฐานะ 20 นัยไว้เป็นฐานะละ 10 นัย.
บัดนี้ เพื่อทรงแสดงประเภทแห่งอธิบดี จึงเริ่มคำว่า กตเม ธมฺมา
กุสลา
ดังนี้อีก. บรรดาคำมีฌานเป็นต้นเหล่านั้น โลกุตรฌานที่พระโยคาวจร
ทำฉันทะให้เป็นธุระ ให้เป็นใหญ่ ให้เป็นประธานเกิดขึ้นแล้ว ชื่อว่า ฉันทา-
ธิปไตย.
แม้ในคำที่เหลือก็นัยนี้เหมือนกัน พระธรรมราชาทรงแสดงปฐมมรรค
จำแนกโดยพันนัย คือ ใน (โลกุตรฌาน) เบื้องต้นล้วน ๆ 200 นัย และ
ธรรมมีฉันทาธิปไตยเป็นต้น อย่างละ 200 นัย (200 X 4) ด้วย
ประการฉะนี้.
มรรคจิตดวงที่ 1 จบ

มรรคจิตดวงที่ 2



[271] ธรรมเป็นกุศล เป็นไฉน ?
โยคาวจรบุคคลเจริญฌานเป็นโลกุตระ อันเป็นเครื่องออกไปจากโลก
นำไปสู่นิพพาน เพื่อบรรลุภูมิที่ 2 เพื่อบรรเทากามราคะและพยาบาทให้
เบาบางลง สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรมทั้งหลายแล้ว บรรลุปฐมฌาน
เป็นทุกขาปฏิปทา ทันธาภิญญา ฯลฯ อยู่ในสมัยใด ผัสสะ ฯลฯ อัญญินทรีย์
ฯลฯ อวิกเขปะ มีในสมัยนั้น ฯลฯ
สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นกุศล ฯลฯ
มรรคจิตที่ดวงที่ 2 จบ

มรรคจิตดวงที่ 3



[272] ธรรมเป็นกุศล เป็นไฉน ?
โยคาวจรบุคคลเจริญฌานเป็นโลกุตระ อันเป็นเครื่องออกไปจากโลก
นำไปสู่นิพพาน เพื่อบรรลุภูมิที่ 3 เพื่อละกามราคะและพยาบาทไม่ให้มีเหลือ
สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรมทั้งหลายแล้ว บรรลุปฐมฌาน เป็นทุกขา-
ปฏิปทา ทันธาภิญญา ฯลฯ มีอยู่ในสมัยใด ผัสสะ ฯลฯ อัญญินทรีย์ ฯลฯ
อวิกเขปะ มีในสมัยนั้น ฯลฯ
สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นกุศล ฯลฯ
มรรคจิตดวงที่ 3 จบ